ครกตำข้าว
|
 |
ครกตำข้าวนั้นมีอยู่ 2 ประเภท คือ ครกมือ และครกมองหรือครกกระเดื่อง
การตำข้าวก็เพื่อกะเทาะเม็ดข้าวเปลือกออก โดยนำข้าวไปผึ่งแดดหนึ่งวัน แล้วนำมาเทลงในครกตามต้องการ จากนั้นจึงเริ่มต้นใช้สากตำข้าวกะเทาะเม็ดข้าวเปลือกออก แล้วนำไป “ฝัด” และเก็บกากที่ไม่ต้องการออก
“ครกมือ” มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ ตัวครก และตัวสาก ตัวครกทำจากท่อนไม้เนื้อแข็งมีความยาว 80-90 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50-60 เซนติเมตร ใช้ขวานเจาะเป็นร่องลึกตรงกลางแล้วนำแกลบใส่เป็นเชื้อจุดไฟเผาส่วนกลางให้เป็นโพรงลึกตามต้องการ แล้วจึงขัดภายในให้เกลี้ยง การตำข้าวด้วยครกมือสามารถเคลื่อนย้ายที่ตามต้องการ ใช้แรงงานน้อย ตำนานแต่ได้ข้าวน้อย
ตัวสากทำจากไม้เนื้อแข็งยาว 2 เมตร ปลายทั้งสองข้างโค้งมน หัวสากจะทุ่มใหญ่ ส่วนปลายสากจะมนเรียวเล็ก บริเวณกลางคอดกลมดีกับมือกำอย่างหลวม
“ครกมอง” หรือ “ครกกระเดื่อง” เป็นครกตำข้าวที่มีพัฒนาจากครกมือ ซึ่งสามารถตำข้าวได้ปริมาณมาก โดยมีส่วนประกอบ คือ ตัวครก แม่มองหรือตัวมอง หัวแม่งมอง เสามอง คานมอง และสากมอง
ตัวครก ทำจากไม้เนื้อแข็งเช่นเดียวกันกับการทำครกมือ แต่จะทำจากท่อนไม้กลมยาวพอประมาณ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร เจาะเป็นร่องลึกตรงกลางเหมือนครกทั่ว ๆ ไป ใช้ขวานฟันตรงกลาง นำแกลบใส่เป็นเชื้อและจุดไฟเผา จนได้หลุมครกลึกตามต้องการขัดภายในให้เรียบ จากนั้นจึงนำไปฝังลงในดินให้แน่นให้ระยะจากก้นครกถึงด้านส่วนล่างสุดของไม้ประมาณหนึ่งศอก
แม่มองหรือตัวมอง นิยมทำจากไม้สมอไทยเพราะมีเนื้อแข็ง เหนียวและทนทานไม่ให้หักง่ายและแตกง่ายเวลาตอกลิ่นที่หัวแม่มองหรือแรงกระแทกเวลาตำข้าว แบ่งเป็นสองส่วนคือหัวแม่มองและหางแม่มอง
หัวแม่มอง คือส่วนโคนของต้นไม้เพื่อเพิ่มน้ำหนักในการตำข้าว การเจาะรูสำหรับใส่สากมอง ควรกะระยะห่างจากหัวแม่มองไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป
หางแม่มอง คือส่วนที่อยู่ปลายของลำต้นและเป็นส่วนที่ใช้เท้าเหยียบเพื่อจะให้แม่มองกระดกขึ้นเวลาตำข้าวหางแม่มองจะบากหรือถากออกเล็กน้อยกันไม่ให้ลื่นดินบริเวณใต้หางแม่มองจะขุดเป็นหลุมเรียกว่าหลุมแม่มอง ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยให้การตำข้าว ได้ผลดี ถ้าไม่มีหลุมแม่มอหางแม่มองจะยกไว้สูงสากมอง ที่ใช้กับครกมองต้องใช้ให้ถูกกับขั้นตอนข้าว เวลาตำข้าวจะต้องออกแรงมาก
เสาแม่มอง จะอยู่ค่อนไปทางหางแม่มองประกอบด้วยเสาสองต้นปักดินให้แน่นเสาแม่มองเป็นไม้เนื้อแข็งเหนียวและทนทาน เพราะต้องรับแรงเสียดสีจากคานแม่มองทั้งรับน้ำหนักแม่มองและสากมอง ถ้าเสาทำจากไม้ไม่ดีจึงสึกและพังเร็ว
คานแม่ เป็นส่วนของไม้ที่สอดเพื่อยึดตัวมองกับเสาแม่มองอยู่ค่อนไปทางหางแม่มอง ซึ่งบางแห่งนิยมทำสลักเพื่อไม่ไห้ตัวมองเลื่อนไปทางใดทางหนึ่ง
สากมอง ทำจากไม้ค้อและไม้หนามแท่ง เพราะมีน้ำหนัก เหนียวแข็ง และมัน มีความยาว 60 เซนติเมตร แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
สากตำ มีขนาดเล็กเพื่อให้กระแทรกถึงก้นครกในขณะที่ตำข้าว ทำให้ข้าวจะกระเทาะเปลือกเร็ว
สากต่าว มีขนาดใหญ่กว่าสากตำ ใช้ตำข้าวให้เป็นข้าวกล้อง
สากซ้อม มีขนาดใหญ่ ใช้ตำเพื่อขัดข้าวในชั้นสุดท้าย
ลิ่มแม่มอง ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เหนียวและทนทาน เพราะได้รับแรงกระแทกอยู่ตลอดเวลา ใช้สำหรับตอกเสริมสากเพื่อยึดสากมองกับแม่มองให้แน่น หากลิ่มไม่แน่นจะทำให้สากหลุดจากหัวแม่มองที่เจาะเป็นรูทะลุ อาจกระเด็นออกไปถูกผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ทำให้ได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายได้
หลักจับ เป็นหลักไม้สำหรับผู้ตำข้าวใช้จับพยุงตัวเวลาตำข้าว
ในการการตำข้าวเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวสวยขึ้นอยู่กับจังหวะการตำข้าว ถ้าตำช้าเนิบ ๆ ทิ้งช่วงช้า ๆ จะทำให้ข้าวหักเมล็ดข้าวไม่สวยเพราะการกระแทกสากลงที่ครกมีน้ำหนักมากทิ้งช่วงนาน แต่ถ้าจังหวะตำข้าวเร็วเป็นจังหวะถี่ ๆ เร็วสม่ำเสมอจะทำให้ได้ข้าวเมล็ดไม่แตก
ขั้นตอนแรกของการตำข้าวเริ่มจาก “ตำแหลมเปลือก” หรือ ”ตำบุบ” ใช้เวลา 15-20 นาที จะได้ “ข้าวตำตัก” จากนั้นจะตักใส่ “กระด้งเขิง” ร่อน แล้วใส่กระด้งฝัดเพื่อคัดเลือกแกลบหรือเปลือกข้าวออก
ขั้นตอนที่สองเรียกว่า “การตำต่าว” ข้าวที่ได้จากการตำเรียกว่า “ข้าวต่าว” หรือ “ข้าวกล้อง” แล้วจึงตักข้าวออกมาใส่ “เขิง” ร่อนอีกครั้ง จะได้แกลบละเอียดหรือรำ แล้วจึงเทข้าวที่ร่อนแล้วใส่กระด้งฝัด
ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการตำด้วยสากซ้อม ประมาณ 20 นาที จะได้ “ข้าวซ้อมมือ” มีข้าวสารปนกับข้าวปลายหักและข้าวเปลือกเล็กน้อย เมื่อใช้ “เขิง” ร่อนจะได้ปลายข้าวและรำอ่อน แล้วจึงนำข้าวที่ร่อนแล้วไป “ทิก”ด้วยกระด้งเรียกว่า “ทิกข้าว” และนำไป “ฝัด” เพื่อแยกข้าวสารออกจากข้าวเปลือก
ในการตำข้าวนั้นมีเคล็ดลับเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวสวยนั้นขึ้นอยู่กับจังหวะการตำข้าว ถ้าตำเป็นบาทแบบช้าเนิบ ๆ ทิ้งช่วงช้า ๆ จะทำให้ข้าวหักเมล็ดข้าวไม่สวยเพราะการกระแทกสากลงที่ครกมีน้ำหนักมากทิ้งช่วงนาน แต่ถ้าจังหวะตำข้าวเร็วเป็นจังหวะถี่ ๆ เร็วสม่ำเสมอจะทำให้ได้ข้าวเมล็ดสวย
กว่าที่จะได้ข้าวแต่ละเม็ดจึงต้องใช้ความเพียรพยายามและเทคนิคการตำข้าวที่ละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกผู้หญิงในอดีตนั้นต้องเรียนรู้
ที่มา: http://oknation.nationtv.tv/blog/bantung/2008/12/24/entry-1
|